เทศน์เช้า

เทศน์ก่อนเวียนเทียนวันอาสาฬหบูชา

๑๙ ก.ค. ๒๕๔o

 

เทศน์ก่อนเวียนเทียนวันอาสาฬหบูชา
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๔๐
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ฟังธรรมไง ไม่ใช่อบรมทางโลก อบรมทางธรรม ธรรมะของพระพุทธเจ้า อบรมทางโลกก็โรงเรียนไง เราส่งลูกส่งหลานไปโรงเรียนกัน แล้วเราก็เรียนด้วย เราก็อบรมด้วย แต่เวลาทุกข์ขึ้นมาล่ะ? เรามองไม่รอบไง บอกว่าอบรมต้องมาวัดไง มาวัดกัน.. มาวัด เป็นชาวพุทธแล้วมันถึงครั้งถึงคราว อาสาฬหบูชาไง อาสาฬหบูชาเป็นผู้ที่ฉลาด อาหารนี่ สำรับอาหารวางไว้ต่อหน้า ถ้าคนไม่หยิบใส่ปากก็ไม่ได้อาหารนั้น

ศาสนาพุทธเราเป็นศาสนาที่ว่าไม่บังคับไง ศาสนาต่างๆ ไปเขาบังคับให้นับถือนะ นับถือแล้วก็ต้องคอยมีคนตรวจสอบ แต่ศาสนาพุทธเป็นศาสนาของผู้มีปัญญา คนมีปัญญาเท่านั้นจะแสวงหาของเข้ามาเป็นประโยชน์ของเรา ศาสนาพุทธนี้เป็นศาสนาที่เป็นประโยชน์ล้วนๆ ไง ถึงวางไว้เป็นสมบัติกลางให้เราต่างคนต่างจะหยิบเข้ามาเป็นอาหารของเราไง อาหารของใจ

อาหารของกายนี่เราก็แสวงหากันมาเพื่อใส่ปากใส่ท้องกันอยู่แล้ว แต่ทุกคนก็บ่นว่าทุกข์ใจๆ บ่นว่าทุกข์ทั้งนั้นเลย เพราะเราไม่ได้แสวงหาอาหารของใจ ความทุกข์มันอยู่ที่ใจ แต่ความทุกข์ ความหิวโหยมันมาบีบแค่กระเพาะอาหาร แต่หัวใจรับรู้ความหิวโหยนั้นก็ทำให้เป็นทุกข์ แต่ถ้ามันมีความเพลิดเพลินอยู่ แม้แต่หิวอยู่มันก็ลืม แต่ถ้ายิ่งจนมันยิ่งหิว มันยิ่งอยากจะกิน มันยิ่งทุกข์มาก นั้นร่างกายมันให้โทษอย่างนั้น

แต่หัวใจ หัวใจที่มันแสวงหาสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ได้กินแล้วมันจะเคย มันจะเคยคือว่ามันอิ่มไง อิ่มได้นาน ความทุกข์เข้ามาสัมผัสมันก็ยังแก้ไขได้ เห็นไหม ความทุกข์เข้ามาสัมผัส ถ้าเข้าใจมันจะว่าอันนี้เป็นอนิจจัง ถ้าเราสามารถเอาธรรมเข้ามาในหัวใจได้นะ ในการประพฤติปฏิบัติ ในการศึกษานี่ไม่ต้องถึงกับปฏิบัติ ถ้าเราศึกษาธรรมะจนเราเข้าใจหลักของธรรม สิ่งอะไรเข้ามาเรายังสามารถจะยับยั้งได้เลย เพราะธรรมมันเกิดไง

ธรรมมันเกิดคือความเข้าใจ สรรพสิ่งในโลกนี้มันแปรปรวนทั้งหมด พอแปรปรวนทั้งหมด เราก็จะไปหยิบที่แปรปรวนมันก็แปรสภาพ เห็นไหม มันทำให้เรายับยั้งชั่งใจได้ อันนั้นถึงว่าเป็นสมบัติของใจ

ความรู้ทางหู ความรู้ทางตา ความรู้ทางจมูก ความรู้ความสัมผัส ความรู้สึกต่างๆ ที่เราได้สะสมมา มันต้องไปรวมอยู่ที่หัวใจเท่านั้น มันไปรวมลงอยู่ที่หัวใจ ความรู้ต่างๆ สะสมเข้าไปที่ใจ ฉะนั้นพอความรู้ต่างๆ สะสมเข้าไปที่ใจ ความคิดก็เกิดขึ้นจากฐานตรงหัวใจนั่นแหละ ฐานของหัวใจมันคิดออกมาไง มันตัวแหย่ตัวยุออกมาไง แต่เราก็ไม่รู้ เราไปเอาพิษจากข้างนอกเข้ามา แล้วก็จะเอาพิษจากข้างในหัวใจนี้เข้าไปผสานกัน มันก็เลยเป็นพิษใหญ่เลยทำให้เราทุกข์มาก

พิษในหัวใจเราก็มี พิษจากข้างนอกก็มี พิษจากข้างนอกโดยที่เราไม่รู้ตามสภาวะความเป็นจริง ตามสภาวะความเป็นจริงนะ เพราะเราจะโดนหลอกอยู่ตลอดเวลา กิเลสมันก็หลอกในใจอยู่แล้ว แล้วยังโดนหลอกภายนอกอีก มันเป็นเชื้อมาหลอกภายใน ถ้าเราคุมเชื้อของเราได้

ไฟ! ไฟเผาไปที่บ้าน บ้านจะลุกไหม้หมดเลย แต่เราควบคุมไฟไว้เป็นประโยชน์ ไฟนี้เป็นประโยชน์มาก ถ้าไม่มีไฟอาหารจะดิบ เราจะไม่สามารถดำรงชีวิตได้เลย แต่ถ้าไฟมันเผาบ้านล่ะ? เหมือนกันเลย เราเก็บอะไรมาเป็นประโยชน์ไง ถ้าเราไม่รู้จักมันเผาหมดนะ เผาจนเราเป็นคนเสียคนไปเลย ถ้าเราควบคุมได้ เราจะเป็นคนคอยยับยั้งชั่งใจได้ นี่ธรรมมันจะให้ผลอย่างนั้น ถึงบอกว่าต้องถึงที่หัวใจ

พูดเรื่องหัวใจไง พูดเรื่องหัวใจเพราะบุญมันเป็นนามธรรม หัวใจเป็นนามธรรม นามธรรมกับนามธรรมมันเข้ากันไง แต่ส่วนใหญ่เราชอบมองบุญเป็นรูปธรรม อย่างเช่นข้าวของเงินทองอยากจะให้ลาภไหลมาเทมา ลาภมันมีเพราะเราช่วยตัวเอง เราก็ได้ตามสภาวะที่ว่าเรามีสภาวะได้ขนาดไหนไง ไอ้อย่างนี้มันเป็นไปโดยธรรมชาติ คนทำงานหนักก็ต้องได้ค่าตอบแทนมาก แต่เรื่องหัวใจนี่มันไม่ใช่อย่างนั้นเลยนะ คนเจตนาบริสุทธิ์ เหมือนเปิดหม้อกว้างกับเปิดหม้อแคบไง

เจตนา ความจงใจ มันทำให้เราเปิดหัวใจ อย่างเช่นเราศรัทธา เราเชื่อมั่นมาก มันเปิดภาชนะที่จะรับเข้าไปได้มาก เปิดภาชนะได้มากก็เข้าได้มาก เปิดภาชนะได้น้อยก็เข้าได้น้อย เห็นไหม เรื่องของนามธรรมถึงเน้นลงที่หัวใจไง แต่หัวใจนี้ก็อาศัยร่างกายอยู่ ความเป็นอยู่เราก็ต้องอาศัยโลก.. ถูกต้อง! ถูกต้องเลย แต่คำว่าอาศัย เครื่องอยู่อาศัยไม่ใช่ความจริง

เครื่องอยู่อาศัยไง อยู่เพราะเป็นกาลหนึ่งคราวหนึ่งเท่านั้น ความเป็นจริงคือเราต้องเกิดมา แล้วเราต้องตายไป แล้วเราต้องวนไปตลอดไม่มีวันที่สิ้นสุด อันนี้เป็นความจริง เป็นความจริงเด็ดขาด เด็ดขาดเพราะอะไร? เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ตรัสรู้ธรรมไง ดูสิว่ามีปราสาท ๓ หลัง เป็นถึงกษัตริย์ ยังสละชีวิตออกมาเพื่อหาโมกขธรรม เพื่อหาความจริงอันนี้

แล้ววันนี้วันอาสาฬหบูชา วันอาสาฬหบูชาเป็นวันที่พระพุทธเจ้าประกาศสัจธรรมในการค้นคว้าอยู่ ๖ ปี เป็นผลงานที่ค้นคว้าแล้วพบสัจธรรม พบผลงานอันประเสริฐ ทำให้สัตว์นี้พ้นจากสามโลกธาตุนี้ไปได้ แล้วประกาศวันนี้ไง ประกาศสัจธรรมวันนี้ ประกาศสัจธรรมตามความเป็นจริง ทฤษฎีที่ใครทำตามแล้วจะต้องเข้าถึงจุดนั้นแน่นอน เข้าถึงจุดที่หลุดพ้นไง

วันนี้เป็นวันประกาศ เราถึงได้ระลึกถึงคำประกาศของพระพุทธเจ้า แล้วเราถึงว่าเหมือนกับท่านเอาอาหารมาวางต่อหน้าพวกเราไง เหมือนกับอาหารชุดหนึ่ง ธรรมโอสถสามารถแก้ไขหัวใจ มันเป็นคุณอย่างประเสริฐ คุณอย่างมหาศาล พระเมตตาการุณย์มากมายมหาศาล แต่เราไม่สามารถกันเอง พอเราไม่สามารถกัน เราก็อาศัยบุญตรงนี้ระลึกถึงวันที่ท่านประกาศ ระลึกถึงวันที่ท่านได้ประทานไว้ในสามโลกธาตุนี้

สามโลกธาตุนะ เพราะอย่างพวกเรานี่มันเป็นคนตาบอด มันก็เชื่อเฉพาะตาบอด ดูอย่างเวลาสวดธรรมจักร เห็นไหม เทวดาส่งข่าวขึ้นไปเป็นชั้นๆ ชั้นๆ ขึ้นไปเลย นี่ถึงว่าสามโลกธาตุไง พวกเทวดาก็รับรู้ๆๆ ขึ้นไป แล้วเวลาพระพุทธเจ้านิพพาน พระเขี้ยวแก้วไปอยู่ที่ไหนล่ะ? นี่แบ่งกันไปไง แบ่งกันไปเป็นชั้นๆ เก็บขึ้นไป เพราะเขาเคารพ เขาบูชา เขาต้องมีเครื่องบูชาที่เขาจะได้มีความสุข มีความคิดระลึกถึง

อันนี้ก็เหมือนกัน เราเคารพ เราบูชาในรัตนตรัยไง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ วันนี้เป็นวันเกิดพระสงฆ์ด้วย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราบูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วบูชาพระธรรมไง วันนี้เป็นวันประกาศสัจธรรมไง เราถึงว่าซึ้งใจ บูชาด้วยความซึ้งใจ ให้มันเข้ามาถึงหัวใจ

ถ้าฟังธรรมอย่างนี้แล้วมันเข้าถึงหัวใจ เวลาเราเวียนเทียน เวียนเทียนเราระลึกถึงพระพุทธ รอบแรกกำหนดพุทโธ รอบสองกำหนดธัมโม รอบสามกำหนดสังโฆ เห็นไหม รัตนตรัยของเรา ถ้าหัวใจเชื่อ หัวใจเปิด มันก็จะเข้าถึงหัวใจ เข้าถึงขั้วถึงรากเหง้าของความทุกข์ รากเหง้าที่มันไหว มันหวั่น มันสะท้าน

เวลามีความสุข เห็นไหม เด็กๆ เวลาให้ของนี่มันจะดีใจจนตัวลอยเลย เพราะหัวใจนี้มันพาให้ลอย ให้มันดีใจไป เวลาทุกข์เวลาเศร้าหมองมันก็เกิดจากขั้วหัวใจนี่แหละ ถ้าเราระลึกถึงพระพุทธเจ้าถึงขั้วหัวใจของเรา ยานั้นสามารถชำระถึงขั้วหัวใจของเรานั่นแหละ มันจะเป็นประโยชน์ขนาดไหน? ในเมื่อเราทำไม่ได้แบบนั้น เราก็ระลึกถึงพวกนักปราชญ์ที่ทำได้ไง นักปราชญ์ตั้งแต่พระพุทธเจ้าลงมาไง

นักปราชญ์แท้นะ นักปราชญ์แท้ที่เดินทางอันนี้ไปแล้วไง นี่เราถึงว่าต้องเวียนเทียนไง เราชาวพุทธถึงเอาวันอาสาฬหบูชาเป็นวันระลึกถึง ระลึกถึงพระธรรม วันนี้คือวันของพระธรรม พระธรรมนี่เป็นคำสั่งสอน เป็นศาสนธรรม เป็นเครื่องที่จะให้เราหลุดพ้นไปได้ ถึงหลุดพ้นไม่ได้เราก็อาศัยบุญกุศลอันนี้ระลึกถึงอยู่ เป็นผู้ใกล้ชิดในพระรัตนตรัย ใกล้ชิดถึงหลักธรรมของพระพุทธเจ้า ดีกว่าใกล้ชิดไอ้การโฆษณาชวนเชื่อของโลก

โลกมีแต่การโฆษณา มีแต่การชวนเชื่อให้เราติดในการที่กิเลสมันชอบสิ่งอย่างนั้นอยู่แล้ว แต่การสละ.. นี่หลักธรรมนี้คือว่าให้มักน้อย ให้สันโดษ ให้มักน้อยในอะไร? ไม่ใช่มักน้อยในหน้าที่การงาน ไม่ใช่มักน้อยในการแสวงหา มักน้อยในการคิดแล้วมันปวดหัวใจไง

มักน้อย! มักน้อยในความคิด มักน้อยอย่างนั้นมักน้อยสันโดษ สันโดษในอะไร? สันโดษออกจากความที่ว่ามันจะทำให้เราต่ำต้อยไง ความคิดชักนำให้เราตกต่ำ ความคิดไม่ค่อยทำให้เราสูงขึ้นมาเท่าไหร่หรอก เพราะความคิดเรามีกิเลส ถึงได้ศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้า เอาธรรมะของพระพุทธเจ้ามาเทียบ

คนเทียมมิตร! คนเทียมมิตร เห็นไหม มิตรแท้มันเป็นอย่างไร? มิตรแท้ แม้แต่ลับหลังเขาก็ช่วยเหลือแก้ไข มิตรแท้นะ เพื่อนเราผิดพลาดพลั้งไปมีคนจะใส่ความ เราช่วยแก้เราช่วยไข นี่มิตรแท้ มิตรเทียมล่ะ? นี่หลักธรรมของพระพุทธเจ้ามีอยู่เลย คนเทียมมิตร มิตรแท้.. อยู่ในนวโกวาท นวโกวาทคัดลอกออกมาจากพระไตรปิฎก พระไตรปิฎกมันกว้างขวาง เราไม่สามารถจะไปศึกษา ไปค้นคว้าได้ แต่พอย่อลงมาในนวโกวาท พระบวชใหม่ ผู้ชายที่บวชพระจะต้องอ่านทุกคน

เราย้อนกลับไปตรงนั้นสิว่าเวลาเราอ่านเราซึ้งใจขนาดไหน? แล้วทำไมเราไม่เอามาเป็นเครื่องดำเนินชีวิตเลย ชีวิตของเรา นี่ธรรมะของพระพุทธเจ้าเอามาจัดสิ เอามาจัดสังคมโลก เอามาจัดหัวใจของเรา เอามาจัดหัวใจเราว่ามันต่างจากตรงนั้นไหม? มันแถออกจากนอกคำสอนของพระพุทธเจ้าไหม? มันแถออกไปไง

คำว่า “แถออก” คือออกนอกลู่นอกทางไง รถมันคว่ำออกไปมันก็ได้เลือดทั้งนั้นแหละ แต่ถ้าอยู่ในนี้อยู่ในกระแสไง อยู่ในหลักธรรมของพระพุทธเจ้า มันก็จะทำให้เราอยู่ในหลักเกณฑ์ อยู่ในหลักเกณฑ์ทำให้เรามีความสุข เวลามันบังคับตัวเองมันเป็นความทุกข์ เพราะอะไร? เพราะไม่ได้ตามใจมัน แต่พอผ่านตรงนั้นไปแล้วมันจะมีความสุขเพราะอะไร? เพราะเราไม่ผิดพลาดไง

แต่ถ้าเราพอใจ เราพอใจ ทำความพอใจมันจะผิดตลอด เพราะกิเลสมันให้คิดให้ทำ พอกิเลสมันคิดมันทำไป เรามีความทุกข์ มีความไม่ถูกต้อง เราก็มาโทษว่าชาวพุทธไม่เห็นได้อะไรเลย ผู้ที่เขาไปทางอื่นเขายังได้มีการช่วยเหลือต่างๆ เลย ชาวพุทธเราไม่เห็นมีอะไรจะมาช่วยเหลือตัวเราเองกันเลย.. ชาวพุทธพระพุทธเจ้าสอนให้เราทำตัวเองไง

อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ตนเป็นผู้เข้าใจตน ตนเป็นผู้บังคับตน ตนเท่านั้นเป็นผู้ที่เอาตนไว้ในความคิดของตน อันนั้นเป็นผู้ประเสริฐ พระพุทธเจ้าสอนอย่างนั้นนะถึงให้เราพยายามคิด ถึงได้บอกว่าศาสนาของเราเป็นศาสนาของนักปราชญ์ เป็นศาสนาของผู้ที่มีปัญญา อยู่ที่เราจะเก็บตรงไหนมาเป็นประโยชน์ของเรา ประโยชน์ของเราไม่ใช่เป็นประโยชน์ของโลก ประโยชน์ของเรา

โลกส่วนโลก โลกนี่โลกก็เป็นไป แต่ตัวของเราสุขทุกข์มันอยู่ในใจของเรา แล้วเราอาศัยโลกอยู่ชั่วคราวเท่านั้น ชั่วคราวไง ถึงบอกว่าเกิดมาต้องตายทั้งหมด คนที่เกิดมานี่ตายหมดเลยทุกคน ไม่เว้นต้องตายหมด แต่ตายแล้วไปไหน เห็นไหม เราถึงต้องอาศัยบุญไง โลกนี้ก็ทุกข์อยู่แล้ว เราก็อาศัย เราทำให้พอเป็นไป แล้วไปแล้วก็อย่าให้มันไปเดือดร้อนมากนัก ไปข้างหน้านี่แล้วไปเรื่อยๆ อาศัยบุญพาส่งๆ สักวันหนึ่งเราก็ต้องขึ้นฝั่งนะ พระพุทธเจ้าสอนอย่างนั้น สอนให้ขึ้นฝั่งให้ได้ ฉะนั้นตั้งใจนะ

นี่พูดก่อน พูดเพื่อให้ผู้จะเวียนเทียนได้เข้าใจไง แล้วจะได้ตักตวงไปให้หมด แสงอาทิตย์ส่องมายังโลก บ้านใครมีโซล่าเซลล์นะก็ได้รับผลประโยชน์ ธรรมะของพระพุทธเจ้าเปรียบเหมือนดวงจันทร์ส่องมายังโลก พวกเราตามืดตาบอดไม่รู้จักอะไรเลย

นี่ก็เหมือนกัน มันเป็นนามธรรม เราซึ้งในหลักธรรม เราซึ้งในรัตนตรัย แล้วเราเคารพ แล้วเราได้หมดเลยนี่แก้วสารพัดนึก เพราะมันเป็นเป้าหมายไง มันเป็นอธิษฐานบารมี บารมีสิบทัศของพระพุทธเจ้า อธิษฐานบารมี บารมีตั้งเป้าหมายให้ถึงจุดนั้น แล้วจะได้หรือไม่ได้ อันนั้นเป็นเพราะเราสั่งสมของเรา เป็นกำลังของเรา แล้วกำลังของครูบาอาจารย์ด้วย กำลังของพระอริยสงฆ์ต่างๆ ช่วยให้เราเป็นผู้ที่มีความสุขด้วย

หลังจากนี้เดี๋ยวจะพาทำวัตรนะ แล้วเวียนเทียนก่อน ๑ รอบ